|

การหลีกเลี่ยงหุ้นที่เป็นหายนะในอนาคต

หุ้นที่เป็นหายนะและควรหลีกเลี่ยงในอนาคต: การวิเคราะห์หุ้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถทำการตัดสินใจในการลงทุนให้มีความเป็นระบบมากขึ้น จึงมีความสำคัญที่จะเข้าใจหุ้นที่เป็นหายนะและควรหลีกเลี่ยงในอนาคต เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน และสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว

หุ้นที่เป็นหายนะหมายถึงหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงและนักลงทุนควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้ลงทุนขาดทุนหรือขาดทุนสูงมาก ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น การดำเนินธุรกิจที่ไม่ดีของบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ปัญหาในการบริหารจัดการ การเปลี่ยนแปลงในสภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรง เป็นต้น

นอกจากนี้ ควรระมัดระวังหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ที่อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงสูง เช่น อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ อุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่นที่มีปัญหา เป็นต้น

การตัดสินใจในการลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและเปรียบเทียบกับอัตราส่วนและ ratio เพื่อให้เห็นภาพรวมและทิศทางของหุ้นที่เป็นหายนะ นี่คือบางตัวชี้วัดที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์หุ้นที่เป็นหายนะ:

  1. อัตราส่วนความผันผวน (Volatility Ratio): หุ้นที่มีความผันผวนสูงมักมีความเสี่ยงสูงขึ้น อัตราส่วนความผันผวนคืออัตราส่วนระหว่างความผันผวนของราคาหุ้นกับตลาดทั้งหมด เมื่อมีอัตราส่วนความผันผวนสูง แสดงถึงความผันผวนของราคาหุ้นที่สูงขึ้น การลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนสูงควรพิจารณาให้รอบคอบและมีการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม อัตราส่วนความผันผวนสามารถคำนวณได้โดยใช้สูตร: Volatility Ratio = (ส่วนต่างราคาสูงสุดและต่ำสุดของหุ้น) / ราคาปิดล่าสุด
  2. อัตราส่วนราคาต่ำสุด-สูงสุด (Price Range Ratio): หุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่ำสุด-สูงสุดสูงมักมีความเสี่ยงสูงขึ้น เป็นอัตราส่วนระหว่างราคาต่ำสุดและราคาสูงสุดของหุ้น เมื่อมีอัตราส่วนราคาต่ำสุด-สูงสุดสูง แสดงถึงการเคลื่อนไหวราคาที่กว้างขึ้น การลงทุนในหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่ำสุด-สูงสุดสูงควรพิจารณาความเสี่ยงและการเคลื่อนไหวของราคาอย่างละเอียด อัตราส่วนราคาต่ำสุด-สูงสุดสามารถคำนวณได้โดยใช้สูตร: Price Range Ratio = (ราคาสูงสุดของหุ้น – ราคาต่ำสุดของหุ้น) / ราคาปิดล่าสุด
  3. อัตราส่วนความผันผวนต่อความผันผวนของตลาด (Beta Ratio): หุ้นที่มีอัตราส่วนความผันผวนต่อความผันผวนของตลาดสูงมักมีความเสี่ยงสูงขึ้น อัตราส่วนความผันผวนต่อความผันผวนของตลาดหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกับตลาดทั่วไป หากอัตราส่วนนี้มากกว่า 1 หมายถึงหุ้นมีความผันผวนสูงกว่าตลาดโดยทั่วไป ในกรณีนี้ การลงทุนในหุ้นนี้อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าตลาด อัตราส่วนความผันผวนต่อความผันผวนของตลาดสามารถคำนวณได้โดยใช้สูตร: Beta Ratio = Covariance(ราคาหุ้น, ราคาตลาด) / Variance(ราคาตลาด)
  4. อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนทางเงิน (Debt-to-Equity Ratio): อัตราส่วนนี้เป็นการวัดระดับการรับภาระหนี้ของบริษัท หากบริษัทมีหนี้สินสูงเมื่อเทียบกับทุนทางเงิน อาจเป็นสัญญาณให้รู้ว่าบริษัทอาจมีความเสี่ยงในการชำระหนี้สูง และอาจเป็นหายนะในอนาคต การวิเคราะห์อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนทางเงินเป็นสิ่งสำคัญเพื่อประเมินความเสี่ยงทางการเงินของบริษัท อัตราส่วนนี้สามารถคำนวณได้โดยใช้สูตร:Debt-to-Equity Ratio = หนี้สินรวม / ทุนทางเงินรวม
  5. อัตราส่วนผลตอบแทนที่เสี่ยงต่อตลาด (Return on Equity – ROE): ROE เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงความสามารถของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น หากอัตราส่วนนี้ต่ำ อาจเป็นสัญญาณให้รู้ว่าบริษัทอาจมีปัญหาในการสร้างกำไรและมีความเสี่ยงทางธุรกิจ การวิเคราะห์ ROE เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของบริษัท สูตรการคำนวณ ROE คือ:ROE = กำไรสุทธิ / ทุนทางเงินรวม
  6. อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้ทั้งหมด (Net Profit Margin): อัตราส่วนนี้เป็นตัวชี้วัดการกำไรของบริษัท เมื่อมี Net Profit Margin ต่ำ อาจเป็นสัญญาณให้รู้ว่าบริษัทมีความสามารถในการสร้างกำไรที่ต่ำและอาจมีปัญหาในด้านการจัดการทางการเงิน การวิเคราะห์อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้ทั้งหมดเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความสามารถในการสร้างกำไรของบริษัท สูตรการคำนวณ Net Profit Margin คือ:Net Profit Margin = (กำไรสุทธิ / รายได้ทั้งหมด) x 100

นอกจากนี้ ยังมีอัตราส่วนอื่นๆ ที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์บริษัทที่อาจเป็นหายนะในอนาคต เช่น อัตราส่วนส่วนแบ่งเงินปันผล (Dividend Payout Ratio), อัตราส่วนกำไรขาดทุน (Profitability Ratio), และอัตราส่วนสินทรัพย์สุทธิต่อสินทรัพย์ทั้งหมด (Net Asset Turnover Ratio) เป็นต้น การใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ร่วมกับอัตราส่วนที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้จะช่วยในการประเมินสภาพการเงินและความเสี่ยงของบริษัทในระยะยาวได้อย่างครอบคลุม อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์หุ้นและบริษัทที่เป็นหายนะต้องพิจารณาจากหลายมิติและปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินการอยู่ การศึกษาและการวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อทำให้เข้าใจและตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผลและถูกต้อง

บทความอื่นๆ

บทเรียนการลงทุนบทที่ 11: เหตุผล vs อารมณ์

บทเรียนการลงทุนบทที่ 11: เหตุผล vs อารมณ์ พึ่งเกิดขึ้นไปหยกๆเลยกับเหตุการณ์ black Monday ที่ 15...
Read More

ผลตอบแทนจากเงินปันผล

ผลตอบแทนจากเงินปันผล เป็นที่ทราบกันว่า การลงทุนในหลักทรัพย์ สิ่งที่นักลงทุนจะได้รับในแง่ผลตอบแทนจากการลงทุน คือ 1. กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์( Capital gain) 2....
Read More

การเติบโตของกำไรของบริษัท

การเติบโตของกำไรของบริษัท หากเราเป็นนักลงทุน และการเติบโตของกำไรของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญ และอาจจะสำคัญมากๆด้วย เพราะโดยปกติแล้ว ราคากับกำไรมักจะผันผวนไปในทางเดียวกัน ดังนั้นการเติบโตของกำไร ทำให้ราคาก็เติบโตไปด้วย แล้วเคยรู้กันบ้างมั้ยว่า บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะทำกำไรให้เติบโตได้อย่างไร...
Read More
1 6 7 8 9 10 65

Similar Posts