วิเคราะห์หุ้น CPALL แบบง่ายๆกัน
มีหลังไมค์มาถามกันเยอะเกี่ยวกับ CPALL ซึ่งก็เป็นช่วงที่เป็นกระแสพอดี ประจวบกับว่าจะเขียนนานแล้วตั้งแต่ annual report ของ 7-11 ออกก็กะจะเขียนแต่ว่าก็ยังไม่มีโอกาสได้เขียนซักที วันนี้แฟนๆเพจเขียนมาถามเยอะเลยต้องสลัดตัวขี้เกียจแล้วเขียนซักที
วันนี้เอาแบบง่ายๆกันนะครับเป็นแนวทางให้ไปใช้เวลาจะค้นหาหุ้นหรือวิเคราะห์หุ้นเองที่บ้านกัน สำหรับแนวทางนี้จะผสมทั้งข้อมูลจริงและความเห็นเพิ่มเติมครับ
สำหรับโครงสร้างรายได้นั้น รายได้หลักมาจากธุรกิจค้าปลีกหรือ modern trade นั่นเองไม่ว่าจะเป็นจาก7-11 เองหรือมากจาก Makro ซึ่งได้ไป takeover มาเมื่อปี 2556 นั่นเอง
รายได้จาก 7-11 นั้นมีอยู่ 58% ในปี 57 ที่ผ่านมา และ makro อยู่ที่ 36% ซึ่งเป็นสองส่วนหลักๆของ cpall แต่หากมองย้อนกลับไป 1 ปีก็คือปี 56 รายได้ของ makro โตกระโดดจาก 6หมื่นกว่าล้านมาอยู่ที่ 142,000 ล้าน (Makro ก็โตดีแต่ว่ารายได้ที่ consolidate Makro เข้ามานั้นในปี 56 นั้นไม่เต็มปี)
แต่หากดูรายได้เทียบกับปี 2557 นั้นจะเห็นว่ารายได้จาก makro มีสัดส่วนเกินครึ่งเมื่อเทียบกับตัว 7-11 เอง
มาดูตัว 7-11 เองบ้าง สาขาทั้งหมดตอนนี้มี 8127 สาขาในปี 2557 เพิ่มขึ้นมา 698 สาขาในปีนั้น แบ่งเป็นสาขาของบริษัทเอง ประมาณ 40% และ แฟรนไชส์ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน และเติบโตจาก ประมาณ 6พันกว่าสาขาในปี 54 เป็น 8พันกว่าสาขาในปี 57 หรือเพิ่มมา 2000 สาขาโดยประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะว่าค้าปลีกนั้นรายได้ที่เพิ่มจะเป็นการเพิ่มจากการเพิ่มสาขาเป็นส่วนใหญ่ครับ
แล้วภาพรวมตลาดเป็นยังไงล่ะ ทั้งหมดในปี 57 นั้นมีร้านสะดวกซื้อทั้งหมด 13,312 สาขา (ของ 7-11 ไปแล้ว 8พันกว่าสาขา ของคู่แข่งอีก 5พันกว่าสาขา) 7-11 เองนั้นได้เพิ่มสัดส่วนร้านทั้งนอกและในสถานีบริการน้ำมัน แต่เพิ่มน้ำหนักที่ นอกสถานีน้ำมันมากกว่า
รายได้นั้นเติบโตจาก 1.6 แสนล้าน มาถึงปี 57 ที่ 3.7แสนล้าน (มาจากการควบรวม Makro ด้วยนะ) แต่กำไรนี่สิ จาก 8พันล้านในปี 54 กลายเป็น 1หมื่นล้านในปี 57 หรือเพิ่มแค่ 2พันล้านบาทใน 3 ปี จะเรียกว่าเยอะหรือน้อยดีล่ะ และหากเทียบกับปี56 นั้นกำไรได้หดตัวลงด้วย และยิ่งหากเทียบกับปี 55 กำไรยิ่งน้อยลงเข้าไปใหญ่ รายได้โต กำไรหก (เพราะอะไรต้องเข้าไปดูนะครับ)
แต่ว่า ในปี 58 นี้ดูดี เพราะแค่ไตรมาตรแรกก็ทำกำไรได้มากถึง 3.4 พันล้าน หากคิดเล่นๆว่าจะสามารถคงระดับนี้ได้ทั้งปี กำไรปี 58 อาจจะได้เห็น 13000-14000 หมื่นล้านกันเชียว (จะถึงมั้ยอีกเรื่องนะครับ)
มาดูกันดีกว่าว่ารายได้ที่โตนั้นมาจากที่ไหน จะเห็นได้ว่า รายได้จากต่าจังหวัดนั้นโตขึ้นเกือบเท่าตัวดีเดียวเชียว จาก 2.6 พันล้าน กลายเป็น 4.4 พันล้าน เทียบกับในกรุงเทพที่ 2.6 พันบ้านในปี 2009 โตขึ้นเป็น 3.6พันล้านเท่านั้นเองในปี 2014 จะเห็นว่าโอกาสการเติบโตนั้นจะเป็นตลาดภูธรซะเยอะ หากสนใจเราต้องมาดูกันละว่า การเติบโตในต่างจังหวัดนั้นจะมีโอกาสอยู่อีกมากน้อยแค่ไหน
ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นร้านของบริษัทเองหรือว่าเป็นแฟรนไชส์ หรือจะเป็นในกะนอกปั๊มน้ำมัน ก็เติบโตตามสัดส่วนของมันเองไม่มีไรมากครับ
SSS หรือ same store sales growth นั้นคือการเติบโตของยอดขายต่อสาขา จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ ปี 2008 นั้นมีการเติบโตสาขาที่เป็นบวกมาตลอดในบางปีนั้นเติบโตเป็นเลขสองหลักเลยด้วยซ้ำ แต่ในปี 2014 นี้เห็นการติดลบของการเติบโต หรือหดตัวลงนั่นเอง ยอดขายต่อลูกค้าไม่ได้ลดลง แต่ที่ลดลงนั้นคือจำนวนลูกค้าที่เข้าต่อสาขาลดลง (ซึ่งเป็นไปได้ว่า ร้านใหม่นั้นแย่งลูกค้ากันไปเอง หรือโดนร้านคู่แข่งแย่งเค้กไป)
รายได้หลักในร้้านยังมาจากอาหารและเครื่องดื่มอยู่ มากกว่า 70% และเป็นสัดส่วนที่เรียกได้ว่าคงที่มากๆ (อาหารและเครื่องดื่มเป็นสัดส่วนสินค้าที่ทำกำไรได้ดี หากสามารถเพิ่มส่วนนี้ได้จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นได้อีกเยอะ) และ margin เทียบเป็นรายปียังไม่ลดลง (อันนี้ต้องบอกว่าดี เพราะว่าสัดส่วนอาหารเยะและ margin ก็เพิ่ม) แต่ว่ามีสัญญาณอันตรายนิดหน่อย เนื่องจากในปี 2014 นี้เทียบเป็นรายไตรมาสแล้วจะเห็นว่า margin เริ่มลดลงต่อเนื่อง (ต้องจับตาดีๆว่าเพราะอะไร และจะเป็นแบบไหนต่อไปในอนาคต)
รายได้โต แต่รายจ่ายก็โต รายจ่ายที่โตมาจากต้นทุนสินค้าและบริการ (ดูไม่ดีเท่าไร) และท้ายสุดทำให้กำไรหดตัวลง (อันนี้ไม่ดีเลย)
ภาพรวม margin ก็ลดลง (เพราะรวม makro เข้ามาด้วย) อ้าวแล้วทำไมรวมแล้วลดลง เพราะว่าโดยพื้นฐานของธุรกิจ ค้าส่งกับค้าปลีก margin มันต่างกันอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อรวมมาในงบรวมเลยเห็นภาพที่แย่ลง เพราะ margin ของค้าส่งจะบางมาก เลยไปฉุดให้ตัวเลขมันลง
มาดู7-11 เดี่ยวๆบ้าง margin ยังดูดี เว้นแต่ว่า net margin เริ่มลดลง (อันนี้ไม่ดี)
การเก็บสินค้า (สต็อค) ก็เริ่มนานขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2014 เพิ่มมาประมาณ 1-2 วัน (แปลว่าของออกช้าขึ้น) แต่ account payable days ก็นานขึ้นแปลว่า 7-11 จ่ายเงิน supplier ช้าขึ้นอีก (อันนี้ดีทำให้เรามีเงินสดติดมือเยอะขึ้น) และทำให้ cash cycle ติดลบ (ซึ่งดีมากและแนวโน้มยังดีต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าค้าปลีกที่แข็งแกร่งมากๆ จะมี cash cycle ติดลบกันหมด – เอาเงินสดมาหมุนได้ดีมาก รับเงินสด จ่ายเครดิต)
การเติบโตในอนาคตนั้นทาง Cpall นั้นมองว่า จะขยายสาขาไปที่ 10000 สาขาในปี 2018 และปีนี้ 2015 จะขยายได้ประมาณ 600 สาขา จะเน้นการขยายไปยัง สาขานอกปั๊มและแฟรนไชส์มากขึ้นในต่างจังหวัด และอาจจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 9000 -10000 ล้านบาทในปี 2015 นี้
ดังนั้นด้วยข้อมูลจาก settrade + annual report ของ cpall เองทำให้เราเข้าใจธุรกิจของ Cpall ได้ชัดเจนขึ้นมากครับ และเป็นข้อมูลที่ฟรี
เพิ่มเติมอีกนิด
จุดแข็ง
-มีสาขาเยอะ ให้ความสะดวกสบายกับลูกค้า
-มี Makro เป็นบริษัทลูก เมื่อซื้อด้วยกันจะได้ volume มาก
-กระแสเงินสดที่มาก
-ธุรกิจขยายตัวต่อเนื่อง
-คิดไม่ออกแล้ว
จุดอ่อน
-การขยายสาขาเมื่อเทียบกับจำนวนสาขาทั้งหมดอาจจะน้อยไป
-SSSต่อร้านเริ่มลดลง
-จำนวนคนเข้าร้านลดลง (ต่อร้าน)
-คิดไม่ออกแล้ว
โอกาส
-ยังมีโอกาสขยายสาขาได้อีกมากในพื้นที่นอกกรุงเทพและหัวเมืองใหญ่
-ใช้ประโยชน์จาก makro ในการบริหาร
-การขายหุ้นคืนเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมเงินมาชำระหนี้ที่ใช้ซื้อ makro ในตอนแรกและจะทำให้ดอกเบี้ยลดลง
-การเพิ่มสัดส่วนสินค้า house brand ของ 7-11
-Tesco Lotus?
-มี Shopat7 ในการบริการกลุ่มที่ชอบ shopping online และการใช้สาขาที่มีอยู่ทั้งประเทศในการชำระเงินรวมถึงส่งสินค้าจะทำให้ได้เปรียบมาก
-คิดไม่ออกแล้ว
อุปสรรค
-การต่อต้านสินค้าจากกลุ่ม CP
-คู่แข่งที่เริ่มทำตลาดและขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
-หาทำเลดีๆในการตั้งสาขายาก
-คิดไม่ออกแล้ว
เป็นยังไงกันมั่งครับ เอาแค่นี้คร่าวๆก่อน อยากรู้อะไรเพิ่มเติมต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่มและทำการบ้านเพิ่มนะครับ การเลือกหุ้นไม่ยาก เราสามารถวิเคราะห์เองได้ ส่วนเรื่องอนาคต Cpall จะเป็นอย่าไรต้องขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ของนักลงทุนเอง การมองอนาคตเป็นเรื่องสนุก 100 คนมอง 100 อย่าง ใช้ข้อมูลที่มีวิเคราะห์ให้มากที่สุด เข้าใจบริษัทที่เราจะลงทุนให้มากที่สุดครับ เงินของคุณ กำไรขาดทุนของคุณ จงใช้การวิเคราะห์ของคุณก่อนการตัดสินใจการลงทุนนะครับ ราคาแพงไปมั้ย ราคาเหมาะสมมั้ย ซื้อดีมั้ย ถือดีมั้ย ถือกี่ปีดี ขอให้ตอบให้ได้ก่อนจะเข้าซื้อนะครับ
————————————————————————————————————
สำหรับแฟนเพจที่ติดต่อสอบถามเรื่องคอร์สอบรมหรือโทรปรึกษาเรื่องการวางแผนการลงทุนก็สามารถติดต่อได้ที่ 089 103 2176 เช่นเดิมนะครับ
#หุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย