หุ้น Blue chip กับ Captital Gain

หุ้น Blue chip กับ Captital Gain

หุ้นเนี่ยนะครับเพื่อน ๆ มันก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด แล้วแต่ว่าใครจะแบ่งแยกชนิด

ยังไง ซึ่งการรู้จักชนิดต่าง ๆ ของหุ้นนี้ก็อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถทำกำไรได้เพิ่มมากขึ้น สิ่งสำคัญมาก ๆ ที่เราอยากจะบอกเพื่อน ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือว่า ในปัจจุบันนี้ คนจำนวนมากมีความสับสนกันอยู่ระหว่างหุ้นชนิดที่เรียกว่าBlue Chip และ หุ้นพื้นฐานดี ในบางครั้งและในบางโอกาส หุ้น Blue Chip อาจจะเป็นหุ้นพื้นฐานดีด้วยก็ได้ แต่ว่าบ่อยครั้งที่หุ้น Blue Chip หลายตัว ก็ไม่ได้เป็นหุ้นพื้นฐานดี แล้วในขณะเดียวกันหุ้นพื้นฐานดีจำนวนมาก ก็เป็นหุ้นของบริษัทขนาดเล็ก ดังนั้นเราจึงได้พยายามแยกแยะหุ้นทั้งสองประเภทนี้ออกจากกันโดยการประเมินมูลค่าของหุ้น

ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อป้องกันความสับสนอันอาจเกิดขึ้นได้ต่อไปภายหน้า เราขอบอกเพื่อน ๆ ไว้อีกว่าหุ้นพื้นฐานดีในวันนี้ ก็อาจจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจนทำให้มันไม่ได้เป็นหุ้นพื้นฐานดีต่อไปในอนาคตอีกแล้วดังนั้นเราจึงอยากจะขอให้เพื่อน ๆ นักลงทุน ศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ก่อนการลงทุน เพื่อให้พอจะรู้ได้ว่าหุ้นที่เราจะไปซื้อลงทุนนั้น มันจะมีความมั่นคง ในแง่ของรายได้และกำไรมากหรือน้อยเพียงใด เพื่อจะได้ตัดสินมันได้ว่า หุ้นตัวที่เรากำลังคิดจะซื้อนั้นมันเป็นหุ้นพื้นฐานดีหรือไม่ โดยนัยนี้ เรากำลังจะบอกเพื่อน ๆ ว่า บางทีหุ้นอย่าง PTT,PTTEP, SCC ก็อาจจะไม่ใช่หุ้นพื้นฐานดีอยู่ตลอดเวลาก็ได้ ซึ่งถึงแม้เพื่อน ๆ จะซื้อหุ้นพวกนี้ถือเอาไว้เนื่องจากเชื่อว่าโอกาสขาดทุนมีน้อย และ น่าจะได้กำไรตามสมควร ถึงจะไม่มากนักก็ตาม เราอยากจะบอกไว้ว่ามันไม่ได้เป็นจริงอย่างนั้นเสมอไปหรอกครับ อย่าง SCC ในราคานี้ คนที่ซื้อมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็อาจจะไม่ได้Capital Gain เลยด้วยซ้ำไป ในขณะที่คนที่ซื้อหุ้นอย่าง THAI ก็ขาดทุนกันไปเป็นจำนวนมาก เพื่อน ๆครับ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่มีสูตรสำเร็จหรอกครับ แล้วมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดที่ใคร ๆ ก็สามารถทำกำไรได้โดยไม่ต้องศึกษา แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของเพื่อน ๆ ที่จะศึกษาหาความรู้นะครับ ขอให้เพื่อน ๆศึกษาหาความรู้ให้มาก ๆ เพื่อให้สามารถทำกำไรได้อย่างปลอดภัยกันนะครับ

หุ้นพื้นฐานดีที่เราหมายถึงนี้ เราก็หมายถึงว่าหุ้นนั้น ๆ จะต้องมีโอกาสที่จะทำกำไรได้อย่างแน่นอนและมั่นคง อย่างน้อยก็ต้องมองเห็นได้ในอนาคตอีกสัก 2 – 3 ปีข้างหน้า เป็นบริษัทที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งพอควรและที่สำคัญมาก ๆ ที่เราจะขอเน้นย้ำไว้หลาย ๆ รอบก็คือ ราคาต้องถูกกว่าที่มันควรจะเป็น เราถึงจะเข้าไปซื้อนะครับ ถ้ามันเป็นบริษัทที่ดี มีอนาคต มั่นคง แต่ราคาแพง หุ้นแบบนี้ก็ยังไม่ปลอดภัยในการลงทุนเท่าไรนักครับ หุ้นที่ราคาแพงในขณะนี้ แสดงให้เห็นว่าโอกาสที่ราคามันจะตกลงมาก็เป็นไปได้ แต่ถ้าเรายิ่งซื้อหุ้นได้ถูกมากเท่าไรโอกาสที่ราคาของหุ้นนั้น ๆ มันจะตกลงมาก็มีน้อยลงตามไปด้วยครับ นอกจากนี้ถ้ามองในเรื่องของผลตอบแทนเงินปันผลแล้วล่ะก็ เราคิดว่าราคาที่เหมาะสมในการซื้อก็คือราคาที่มีเงินปันผลตอบแทนอย่างต่ำ 5%

ทั้งนี้จริง ๆ สำหรับเราเองนั้น เราเป็นนักลงทุนที่หวัง Capital Gain เป็นหลัก ซึ่งเงินปันผล ที่ว่านี้เราใช้นำมาช่วยในการคำนวณมูลค่าของหุ้นมากกว่าที่จะคิดเป็นผลตอบแทนคาดหวังจากการลงทุน ในสภาพปกติเราคิดว่า นักลงทุนที่มีความสามารถพอสมควร ลงทุนอย่างรอบคอบระมัดระวัง และมีข้อมูลที่ถูกต้องประกอบน่าจะทำผลตอบแทนได้ไม่น้อยกว่าปีละ 30% อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่คิดแบบ Conservative เกินไปเราคิดว่าผลตอบแทนปีละ 50% น่าจะเป็นที่คาดหวังได้ครับ แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ คิดว่าผลตอบแทนปีละเท่าไรที่จะถือว่าเหมาะสม สำหรับการลงทุนในหุ้น ? ลองคิดกันดูนะครับ

ดังนั้นการที่นักลงทุนจำนวนมากทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้น้อย หรือ ขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากความรู้ที่คลาดเคลื่อน หรือผิดพลาดไปจากความเป็นจริง ในเรื่องของการวัดมูลค่าหุ้น และ เรื่อง “หุ้นพื้นฐานดี” นี่แหละครับ

ใคร ๆ ก็รู้ว่าเวลาทำการค้า ถ้าเราซื้อถูก ขายแพงได้ เราก็จะได้กำไร ฟังดูมันก็ง่าย ๆ นะครับ แล้วทำไมเราไม่ทำแบบนี้กันบ้างเวลาเราลงทุนซื้อหุ้น คำตอบอย่างนึงที่เราคิดได้ก็คือว่า มีนักลงทุนจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหน ในเวลาไหน ที่ราคาเท่าไร ถูก และ หุ้นตัวไหน ในเวลาไหน ที่ราคาเท่าไร แพง เพราะฉะนั้น เราขอให้เพื่อน ๆ ที่คิดจะลงทุนในหุ้น หรือที่ลงทุนอยู่แล้ว สละเวลาเพื่อศึกษาหาความรู้ให้มาก ๆ ก่อนที่จะนำเงินมาลงทุนจะได้มีความรู้ในการวัดมูลค่าหุ้น แล้วก็จะได้รู้ว่าหุ้นตัวไหน เมื่อไร ถูก เมื่อไร แพง นะครับ เพราะเรื่องนี้แหละเป็นความรู้ที่สำคัญมาก ๆ ถ้าเพื่อน ๆ มีความรู้นี้ติดตัว เพื่อน ๆ จะสามารถ ซื้อถูก ขายแพง ได้ครับ

เพื่อน ๆ ครับ เรานำเสนอหลักการประการสำคัญที่ขัดกับความเชื่อแต่ดั้งเดิมของทฤษฎีการลงทุนไว้ ณ.ที่นี้เลยนะครับ หลักการที่เรานำเสนอนี้คือ “High Risk High Lost, Low Risk HighReturn” นะครับ เสี่ยงมากขาดทุนมาก เสี่ยงให้น้อยครับ แล้วจะได้กำไรเยอะ

ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร ผู้นำด้าน Value Investing ในเมืองไทยได้ให้หลักการอันสำคัญยิ่งไว้ว่า “อย่าขาดทุน” ซึ่งเป็นหลักการอันหนึ่งที่ Warren Buffet ใช้ เราขอสนับสนุนหลักการนี้ด้วยความเชื่อมั่นว่า อย่าเอาเงินลงทุนของเราไปเสี่ยงกับการขาดทุนเด็ดขาด แล้วกำไรอย่างมากมายจะตามมาเองครับ

ขอให้เชื่อมั่นในหลักการและเหตุผลที่ถูกต้อง
ขอให้ศึกษาและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แล้วจงลงทุนอย่างระมัดระวังรอบคอบ
ขอให้ท่านได้รับผลตอบแทนแห่งความพยายามอันหอมหวานและน่ารื่นรมย์ด้วยเถิด

ขอให้สนุกกับการจัดพอร์ตกันนะครับ
สิ่งเล็กๆที่เรียกว่าหุ้น
#สิ่งเล็กๆที่เรียกว่าหุ้น #จัดพอร์ตการลงทุน #การลงทุนในหุ้น
——————————————————————————
ติดตามอ่านเรื่องดีๆเกี่ยวกับหุ้นและการลงทุนต่อได้ที่ สิ่งที่เล็กๆที่เรียกว่าหุ้น ได้ที่นี่เลยครับ www.facebook.com/thaistockfocus

Similar Posts